Wednesday, December 30, 2015
Monday, December 28, 2015
วันคริสต์มาส
Jingle Bells original song
We Wish you a Merry Christmas - Christmas Carol
เทศกาลคริสต์มาส เป็นการฉลองการบังเกิดของพระเยซูที่เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า ” คริสต์มาส ” เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณ ว่า Christes Maesse ที่แปลว่า “บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า” คำว่า “Christes Maesse” พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี 1038 และคำนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas
ในภาษาไทย ” คริสต์มาส ” ก็มีความหมาย เช่นกัน คำว่า “มาส” แปลว่า “เดือน” เทศกาลคริสต์มาสจึง เป็นเดือนที่เราระลึกถึงพระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพิเศษ คำว่า”มาส” คือ”ดวงจันทร์” ตีความหมายในภาษาไทยคือพระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลก เหมือนดวงจันทร์ เป็นความสว่างในตอนกลางคืน Merry X’mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า”สันติสุขและความสงบทางใจ
คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ ถือเอาประเพณีของชนในท้องถิ่นนั้น มาประยุกต์เข้ากับศาสนา โดยจัดให้มีการฉลองเพื่อระลึก ถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศประเพณี นี้ ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษ ที่ 4 และ ค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป
ซานตาคลอส
วันคริสต์มาสนี้เริ่มตั้งแต่คริสตวรรษที่ 4 มีนักบุญคนหนึ่งชื่อ “นิโคลาส ” หรือ “เซนต์นิโคลาส”ท่านเป็นนักบุญ ตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อเป็นเด็กหนุ่ม ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นสังฆราชแห่งแคว้นไมรา ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศตุรกี ท่านได้กลายเป็นนักบุญอุปถัมถ์ประจำชีวิตเด็ก
เด็กในประเทศอังกฤษ จะเรียกคุณตาใจดีว่า “คุณพ่อแห่งวันคริสต์มาส” ( Father Christmas ) เด็กเยอรมันนีเรียกว่า”ญาติแห่งพระคริสต์”( Christ Child ) เด็กชาวดัชท์เรียกว่า “ซาน นิโคลาส” หรือ “Sankt Klous” ในที่สุดกลายเป็น ” ซานตาคลอส ” ติดปากเด็กๆทั่วโลก
ในปี ค.ศ. 1866 นักวาดการ์ตูนชาวอเมริกัน ชื่อ โธมัส แนส เป็นคนแรกที่วาดภาพของ ซานตาคลอส ขึ้นมาลักษณะเหมือนที่เรา เห็นทุกวันนี้ ลงพิมพ์ในหนังสือ “Horpers Weekly” เป็นครั้งแรกใบหน้าของซานตาคลอส เป็นสีแดงอมชมพูเหมือนกลีบกุหลาบ จมูกแดงเหมือนผลเชอรี่สุก นัยน์ตาสุกใสเป็นประกาย หนวดเคราสีขาวท่าทางใจดี ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียง ตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย คือความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง และที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กๆคือ ของขวัญ ของขวัญ และ ของขวัญ
ต้นคริสต์มาส
ต้นคริสต์มาส ในสมัยโบราณหมายถึงต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และ ทำบาปไม่เชื่อฟังพระเจ้า ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่หน้าวัดถึงความหมายของคริสต์มาสและเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลางเพื่อประดับฉากแสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวาต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่หาง่าย ที่สุดในประเทศเหล่านั้น
การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้นกลายเป็นการเล่น เหมือน ลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนาซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดายที่ ไม่มีโอกาสดูละครสนุกๆแบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน เพราะต้นไม้เป็นจุดเด่นในลานวัด ที่เขาเคยร่วมสนุกกัน
จากนั้นก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ลและแขวนแผ่นขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท ซึ่ง ก็มีวิวัฒนาการ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็กลายเป็นขนมและของขวัญ อย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
เราจะเห็นได้ว่าวันคริสต์มาสเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เพื่อเป็นการระลึกถึงวันที่พระบุตร ของพระเจ้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์เป็นพระเจ้า ที่จะอยู่กับเราตลอดไป เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ เป็นพี่หัวปีที่จะนำมนุษย์ทั้งมวลไปสู่พระบิดาเจ้า พระองค์เป็นความสำเร็จบริบูรณ์ ตามคำ สัญญาของพระเจ้าที่จะดูแลป้องกัน รักษาเราผู้เป็นประชากรของพระองค์
Friday, December 4, 2015
วันพ่อแห่งชาติ
ประวัติวันพ่อแห่งชาติ วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีเป็น “วันพ่อแห่งชาติ” วันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งความเป็นมาของวันสำคัญนี้ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์
วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญ ต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น “วันพ่อแห่งชาติ” ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาว ไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน
ทางราชการจึงได้ กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 5 ธันวาคม วันพ่อแห่งชาติ นี้
ดอกพุทธรักษา สัญลักษณ์แห่งวันพ่อแห่งชาติ
ใน วันพ่อแห่งชาติของทุกปี ดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ ตัวแทนของวันพ่อ ได้แก่ ดอกพุทธรักษา ซึ่งทางคณะกรรมการได้คัดเลือกเนื่องจากดอกพุทธรักษรเป็นดอกไม้ที่มีสีเหลือง ทองสวยงาม และมีนามที่เป็นมงคลเป็นสัญลักษณ์อีกด้วย
วัตถุประสงค์ในการจัดงานวันพ่อแห่งชาติ
๑. เพื่อเทิดทูน และเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในฐานะพ่อของแผ่นดินผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทย
๒. เพื่อให้ผู้เป็นลูกได้สำนึกถึงพระคุณของพ่อ และตระหนังถึงหน้าที่ของลูกที่พึงมีต่อพ่อ ได้แก่ การแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ
๓. เพื่อให้ผู้ที่เป็นพ่อได้ตระหนักถึงหน้าที่ของตนที่พึงมีต่อบุตร ธิดา และครอบครัว
๔. เพื่อเผยแพร่พระคุณ และบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัว สังคม และประเทศชาติ
๕. เพื่อให้สังคมได้ตระหนักถึงบทบาท และพระคุณของพ่อที่มีต่อครอบครัว สังคม และประเทศชาติ
๖. เพื่อประกาศเกียรติคุณให้กับพ่อ และลูกที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้เป็นอย่างดี สมควรแก่การชื่นชมยกย่องของสังคมโดยทั่วไป
๗. เพื่อยกย่องพ่อดีเด่น และลูกที่มีความกตัญญูต่อพ่อ
๒. เพื่อให้ผู้เป็นลูกได้สำนึกถึงพระคุณของพ่อ และตระหนังถึงหน้าที่ของลูกที่พึงมีต่อพ่อ ได้แก่ การแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ
๓. เพื่อให้ผู้ที่เป็นพ่อได้ตระหนักถึงหน้าที่ของตนที่พึงมีต่อบุตร ธิดา และครอบครัว
๔. เพื่อเผยแพร่พระคุณ และบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัว สังคม และประเทศชาติ
๕. เพื่อให้สังคมได้ตระหนักถึงบทบาท และพระคุณของพ่อที่มีต่อครอบครัว สังคม และประเทศชาติ
๖. เพื่อประกาศเกียรติคุณให้กับพ่อ และลูกที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้เป็นอย่างดี สมควรแก่การชื่นชมยกย่องของสังคมโดยทั่วไป
๗. เพื่อยกย่องพ่อดีเด่น และลูกที่มีความกตัญญูต่อพ่อ
ในหลวงทรงมีพระราชอารมณ์ขัน
พระราชอารมณ์ขัน ในหลวง
เมื่อ พ.ศ. 2503 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก เป็นที่สนใจต่อสื่อมวลชนของอเมริกาเป็นอย่างมาก จึงได้มีพระราชทานสัมภาษณ์ นักข่าวหนุ่มคนหนึ่งได้ทูลถามว่า “ทำไมพระองค์จึงทรงเคร่งขรึมนัก… ไม่ทรงยิ้มเลย?”
ทรงหันพระพักตร์ไปทางสมเด็จพระนางเจ้าฯ พลางรับส่งว่า“นั่นไง… ยิ้มของฉัน”
ทรงหันพระพักตร์ไปทางสมเด็จพระนางเจ้าฯ พลางรับส่งว่า“นั่นไง… ยิ้มของฉัน”
แสดงให้เห็นถึงพระราชปฏิภาณ และพระราชอารมณ์ขันอันล้ำลึกของพระองค์ท่าน ทำให้เป็นที่รักของประชาชนอเมริกันโดยทั่วไป ในวันที่เสด็จฯ รัฐสภาคองเกรส เพื่อทรงมีพระราชดำรัสต่อสภา จึงทรงได้รับการถวายการปรบมืออย่างกึกก้องและยาวนานหลายครั้ง
Tuesday, November 24, 2015
วันลอยกระทง
ประวัติความเป็นมาวันลอยกระทง
วันลอยกระทง ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒
เป็นประเพณีที่สืบทอดมาแต่โบราณโดยมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลายเช่นลอยเคราะห์บูชาพระพุทธเจ้าแต่ปัจจุบันนิยมทำเพื่อขอขมา
และระลึกถึงคุณแม่พระคงคา ที่ได้อำนวยประโยชน์ต่าง ๆ แก่มนุษย์
โดยประเพณีลอยกระทงมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยประมาณ ๗๐๐ ปีมาแล้ว
ประเพณีลอยกระทงได้เข้าสู่ประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐
ดังปรากฏในหนังสือนางนพมาศ ผู้เป็นพระสนมเอกของพระร่วงเจ้าว่า
"ครั้นวันเพ็ญเดือน ๑๒ ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย
คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษรสีต่างๆ
มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ
ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้เป็นลวดลาย..."
เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯทางชลมารค
ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย
จึงมีพระราชโองการฯให้จัดพิธีลอยกระทงเป็นประจำทุกปี
ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองพระราชพิธีนี้จึงได้ถือปฏิบัติเป็นประจำจนกระทั่งบัดนี้
ลอยกระทงในอดีต
ประเพณีลอยกระทงมีมานานจนสืบประวัติไม่ได้
และไม่มีในคัมภีร์ทางศาสนาเสฐียรโกเศศ
(พระยาอนุมานราชธน) ได้ค้นคว้าที่มาของประเพณีลอยกระทงไทยทุกภาคตลอดจนถึงประเทศใกล้เคียงคือ พม่า กัมพูชา จีน อินเดีย ได้ความว่ามีประเพณีลอยกระทงทุกประเทศด้วยเหตุผลต่างๆ กัน
สรุปเหตุผลของการลอยกระทงในประเทศไทยดังนี้
๑.เพื่อขอขมาแม่คงคาเพราะได้อาศัยน้ำท่านกินและใช้และอีกประการหนึ่งมนุษย์
มักจะทิ้งและถ่ายสิ่งปฏิกูลลงไปในน้ำด้วย
๒.เพื่อสักการะรอยพระพุทธบาทนัมมทานทีซึ่งประพุทธเจ้าทรงประทับรอยพระบาทประดิษฐานไว้บนหาดทรายที่แม่น้ำนัมมทานที
ในประเทศอินเดีย
๓.เพื่อลอยทุกข์โศกโรคภัย และสิ่งไม่ดี
คล้ายกับพิธีลอยบาปของพราหมณ์
๔.เพื่อบูชาพระอุปคุตชาวไทยภาคเหนือให้ความเคารพแก่พระอุปคุตอย่างสูง
ซึ่งตามตำนานเล่าว่าเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มากสามารถปราบพญามารได้
การลอยกระทงไม่มีพิธีรีตอง เพียงแต่ขอให้มีกระทงจะทำด้วยอะไรก็ได้
เช่น ใบตอง
ก้านกล้วย กาบพลับพลึง เปลือกมะพร้าว กระดาษ จุดธูปเทียนปักที่กระทงแล้วอธิษฐานตามที่ตนปรารถนา เสร็จแล้วจึงลอยไปที่แม่น้ำลำคลอง
คำถวายกระทงสำหรับลอยประทีป
วันลอยกระทง
มะยัง อิมินา ปะทีเปนะ นัมมะทายะ
นะทิยา ปุเลเนฐิตัง มุนิโน ปาทะวะลัญชัง
อะภิปูเชมะ
อะยัง ปะทีเปนะ มุนิโน ปาทะวะลัญชัสสะ ปูชา
อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ สังฆวัตตะตุ
การลอยกระทงของชาวเหนือและอีสาน
การลอยกระทงของชาวเหนือ (ยี่เป็ง)
การลอยกระทงของชาวเหนือ นิยมทำกันในเดือนยี่เป็ง
(คือเดือนยี่หรือเดือนสอง เร็วกว่าของเรา ๒ เดือน)
เพื่อบูชาพระอุปคุตต์ซึ่งเชื่อกันว่าท่านบำเพ็ญบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเลตรงกับคติ ของชาวพม่า
การลอยกระทงในภาคอีสาน
เรียกว่าเทศกาลไหลเรือไฟ
จัดเป็นประเพณียิ่งใหญ่ในจังหวัดนครพนม
โดยการนำหยวกกล้วยหรือวัสดุต่าง ๆ มาตกแต่งเป็นรูปพญานาคและรูปอื่น ๆ ตอนกลางคืนจุดไฟปล่อยให้ไหลไปตามลำน้ำโขง
ดูสวยงามตระการตา
กิจกรรม วันลอยกระทง
-นำกระทงไปลอยตามแม่น้ำลำคลอง
หรือตามแหล่งน้ำที่มีการจัดพิธี
-ให้การสนับสนุนกิจกรรมต่าง
ๆ ในวันลอยกระทง เช่น การประกวดกระทง การประกวดนางนพมาศ การละเล่นพื้นเมือง เช่น
รำวงเพลงเรือ เพื่อสืบสานวัฒนธรรมไทย
-จัดนิทรรศการ
หรือพิธีลอยกระทง เพื่อเผยแพร่และอนุรักษ์ประเพณีไทย
-จัดรณรงค์ให้มีการใช้วัสดุจากธรรมชาติมาทำกระทง
เพื่อไม่ให้เกิดมลภาวะแก่แม่น้ำลำคลอง
การลอยกระทงในปัจจุบันยังคงรักษารูปแบบเดิมเอาไว้ได้ตามสมควรเมื่อถึงวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงใน
เดือน ๑๒ ชาวบ้านจะจัดเตรียมทำกระทงจากวัสดุที่หาง่ายตามธรรมชาติ เช่น หยวกกล้วย และดอกบัว นำมาประดิษฐ์เป็นกระทงสวยงาม ปักธูปเทียนและดอกไม้ เครื่องสักการบูชา ก่อนทำการลอยในแม่น้ำก็จะอธิษฐานในสิ่งที่มุ่งหวังพร้อมขอขมาต่อพระแม่คงคา ตามคุ้มวัดหรือสถานที่จัดงานหลายแห่ง มีการประกวดกระทง ประกวดนางนพมาศ และมีมหรสพสมโภชในตอนกลางคืน นอกจากนั้นยังมีการจุดดอกไม้ไฟ พลุ ตะไล ซึ่งในการเล่นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ วัสดุที่นำมาใช้ทำกระทง ควรเป็นของที่สามารถย่อยสลายได้ง่ายตามธรรมชาติ
ที่มาข้อมูลจาก http://www.tlcthai.com/
|
Thursday, September 17, 2015
ประเพณีสารทเดือนสิบ
ทำบุญเหอ ทำบุญวันสารท
ยกหฺมฺรับดับถาด ไปวัดไปวา พองลาหนมแห้ง ตุ้งแตงตุ๊กตา ไปวัดไปวา สาเสดเวทนา เปรต...เหอ
เพลงร้องเรือเกี่ยวกับการทำบุญวันสารท
|
ความสำคัญ
เป็นความเชื่อของพุทธศาสนิกชนในจังหวัดภาคใต้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช
ที่เชื่อว่าบรรพบุรุษอันได้แก่ ปู่ย่า ตายาย และญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว
หากทำความชั่วจะตกนรก
กลายเป็นเปรต
ต้องทนทุกข์ทรมานในอเวจี
ต้องอาศัยผลบุญที่ลูกหลานอุทิศส่วนกุศลให้แต่ละปีมายังชีพ
ดังนั้นในวันแรม ๑
ค่ำเดือนสิบ
คนบาปทั้งหลายที่เรียกว่าเปรตจึงถูกปล่อยตัวกลับมายังโลกมนุษย์
เพื่อมาขอส่วนบุญจากลูกหลานญาติพี่น้อง และจะกลับไปนรกในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือนสิบ
ในโอกาสนี้เองลูกหลานและผู้ยังมีชีวิตอยู่จึงนำอาหารไปทำบุญที่วัด เพื่ออุทิศส่วนกุศล
ให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที
|
สาระ
ประเพณีสารทเดือนสิบมีสาระสำคัญหลายประการ
ดังนี้
๑.
เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว
ที่ได้อบรมเลี้ยงดูลูกหลาน
เพื่อตอบแทนบุญคุณ ลูกหลานจึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
๒.
เป็นโอกาสได้รวมญาติที่อยู่ห่างไกล
ได้พบปะทำบุญร่วมกันสร้างความรักใคร่สนิทสนมในหมู่ญาติ
๓.
เป็นการทำบุญในโอกาสที่ได้รับผลผลิตทางการเกษตรที่เริ่มออกผลเพราะ
เชื่อว่าเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง
และครอบครัว
๔.
ฤดูฝนในภาคใต้จะเริ่มขึ้นในปลายเดือนสิบ พระภิกษุสงฆ์บิณฑบาตยากลำบาก
ชาวบ้านจึงจัดเสบียงอาหาร
นำไปถวายพระในรูปของหฺมฺรับ
ให้ทางวัดได้เก็บรักษาเป็นเสบียงสำหรับพระภิกษุสงฆ์ในฤดูฝน
|
สารทเดือนสิบ
พีธีกรรม
เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบ
ซึ่งถือว่าเป็นวันที่พญายมปล่อยตัวผู้ล่วงลับ
ไปแล้วที่ (เรียกว่า
"เปรต") มาจากนรก สำหรับวันนี้บางคนก็ประกอบพิธี
บางคนจะประกอบพิธีใน
วันแรม 13 ค่ำ 14 ค่ำ และ 15 ค่ำ
โดยการนำอาหารไปทำบุญที่วัดเรียกว่า "หมรับเล็ก" เป็นการต้อนรับ
บรรพบุรุษ
และญาติมิตรที่ขึ้นมาจากนรกเท่านั้น
การเตรียมการสำหรับประเพณีสารทเดือนสิบ
เริ่มขึ้นในวันแรม 13 ค่ำ เดือน 10 วันนี้
เรียกว่า "วันจ่าย" เป็นวันที่เตรียมหมรับ และจัดหมรับ
คือการเตรียมสิ่งของต่าง ๆ ที่ใช้ในการจัดหมรับ
เมื่อได้ของตามที่ต้องการแล้วก็เตรียมจัดหมรับ
การจัดหมรับแต่เดิมใช้กระบุงเตี้ย ๆ ขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ได้
แต่ภายหลังใช้ภาชนะได้หลายชนิด เช่น กระจาด ถาด กะละมัง ถัง หรือ กระเชอ
สำหรับสิ่ง
การจัดหมรับ
ชั้นแรกใส่ข้าวสารรองกระบุงแล้ว
ใส่หอม กระเทียม พริก เกลือ กะปิ น้ำตาล
และเครื่องปรุงอาคาว หวาน
ที่เก็บไว้ได้นาน
ๆ เช่น มะพร้าว ฟัก มัน กล้วย (ที่ยังไม่สุก) อ้อย ข้าวโพด ข่า ตะไคร้ ขมิ้น
และพืชผักอื่น ๆ นอกจากนั้นก็ใส่ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำมันมะพร้าว
น้ำมันก๊าดไต้
ไม้ขีดไฟ หม้อ กะทะ ถ้วยชาม เข็ม ด้าย เครื่องเชี่ยนหมาก ได้แก่
หมาก พลู ปูน กานพลู การบูน พิมเสน สีเสียด ยาเส้น บุหรี่ ยาสามัญประจำบ้าน
ธูปเทียน
แล้วใส่สิ่งอันเป็นหัวใจอันสำคัญของหมรับคือ ขนม 5 อย่างมี
ดังนี้
ขนมลา
เป็นสัญลักษณ์แทนแพรพรรณเครื่องนุ่งห่ม
ขนมพอง เป็นสัญลักษณ์แทนแพสำหรับบุรพชน ใช้ลอ่งข้ามห้วงมหรรณพ
ขนมบ้า
เป็นสัญลักษณ์แทนสะบ้า สำหรับบุรพชน
จะได้ใช้เล่นสะบ้า ในวัน สงกรานต์
ขนมกง
(ขนมไข่ปลา) เป็นสัญลักษณ์แทนเครื่องประดับ
ขนมดีซำ
เป็นสัญลักษณ์แทนเงินเบี้ย สำหรับใช้สอย
|
ความเป็นมาของประเพณีสารทเดือนสิบ
ประเพณีสารทเดือนสิบสันนิษฐานว่าเป็นประเพณีที่รับอิทธิพลมาจากวัฒธรรมอินเดีย
กับประเพณอื่นอีกหลายประเพณีที่ชาวนครฯรับมา
ทั้งนี้เพราะว่าชาวนครติดต่อกับอินเดียมานาน
ก่อนดินแดนส่วนอื่น ๆ ของประเทศไทย
วัฒธรรมและอารยธรรม
ของอินเดียส่วนใหญ่จึงถ่ายทอดมายังเมืองนครเป็นแห่งแรกแล้วค่อย
ๆ ถ่ายทอดไปยังเมืองอื่น ๆ
และภูมิภาคอื่น
ๆ ในประเทศไทย
ประเพณีสารทเดือนสิบเป็นประเพณีที่วิวัฒนาการมาจาก
ประเพณี " เปตพลี " ของศาสนาพราหมณ์
กล่าวคือในศาสนาพราหมณ์มีประเพณีอยู่ประเพณีหนึ่ง เรียกว่า " เปตพลี "
เป็นประเพณีที่
จัดทำขึ้นเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย
ประเพณีนี้ปฏิบัติต่อเนื่องกันมาในอินเดีย
ก่อนสมัยพุทธกาล
คำว่า
" แปต " เป็นภาษาบาลีตรงกับคำว่า " เปรต "
ในภาษาสันสกฤตแปลว่า " ผู้ไปก่อน "
หมายความถึงบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว
ของใคร
ๆ ทุกคน ถ้าเป็นคนดี
พญายมซึ่งเป็นเจ้าแห่งความตายจะพาวิญญาณ
ไปสู่แดนอันเป็นบรมสุขไม่มาเกิดอีกแดนนี้อาจจะอยู่ทิศใต้
แคนเดียวกับยมโลก
ตามความเชื่ออันเป็นความเชื่อดังเดิมที่สุดของพราหมณ์ซึ่งมี
ปรากฏในพระเวท
อันเป็นคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์ ต่อมาพราหมณ์ได้เกิด
ความเชื่อชิ้นใหม่ คือความเชื่อ
เกี่ยวกับนรก
ดังนั้นชาวอินเดียจึงเกรง
ว่าบรรพบุรุษที่ตายอาจจะไปตกนรกก็ได้หากคนไม่ช่วย
วิธีการช่วยไม่ให้คนตกนรกก็คือ การทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เรียกว่า
พิธีศราทธ์
ซึ่งกำหนดวิธีการทำบุญไว้หลายวิธี
หากลูกหลานญาติมิตร
ไม่ทำบุณอุทิศส่วนกุศลไปให้บรรพบุรุที่ตายไป
เป็นเปรตจะได้รับความอดยากมาก
ดังนั้น การทำบุญทั้งปวงที่ทำ
เพื่ออุทิศผลไปให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว
ซึ่งเรียกว่า
ทำบุญทักษิณานุปทานหรือเปตพลี
นั้นล้วนเป็นความเชื่อที่มีเค้ามาจากเรื่องเปรต
ของพราหมณ์ทั้งสิ้น
|
ประเพณีสารทเดือนสิบมีขึ้นด้วยเหตุผลหลายประการ
ดังนี้
1. เนื่องมาจากความเชื่อทางพุทธศาสนา
เชื่อว่าในปลายเดือนสิบ
ปูย่า ตายาย ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว และคนบาปทั้งหลายที่ตกนรก จะถูกปล่อยจาก นรกให้ขึ้นมาพบญาติพี่น้องในวันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบ และให้กลับไปนรก ดังเดิมในวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ ดังนี้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็พยายามหา อาหารต่าง ๆ ไปทำบุญที่วัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับที่ขึ้นมาจากนรก
2. เป็นการทำบุญเนื่องจากความชื่นชมยินดีในโอกาศที่ได้รับผลิตผลทางการเกษตร
3. เพื่อนำพืชผลต่าง ๆ
ที่ได้รับจากการเกษตรไปทำบุญสำหรับ
พระภิกษุจะได้เก็บไว้เป็นเสบียงในฤดูฝน ซึ่งจะเริ่มในตอนปลายเดือนสิบ
4. เพื่อเป็นการแสดงความรื่นเริงและสนุกสนานประจำปีร่วมกัน
เพราะความภาคภูมิใจ ความสุขใจ และความอิ่มใจ ที่ได้ปฏิบัติการ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษ ญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้ว
ประเทศไทยต่างก็ตั้งตาคอยพร้อมเตรียมตัวที่จะหาโอกาสไปร่วมงานบุญนี้
ชาวเมืองนครส่วนใหญ่มักมีใจผูกพันอยู่กับประเพณีสารทเดือนสิบ
ด้วยความตื่นเต้นทั้งคนหนุ่ม คนแก่และเด็ก หากชาวเมืองนครคนใด ไปอยู่ไกลบ้านไกลเมือง เมื่อใกล้จะถึงเทศกาลสารทเดือนสิบมักรีบ เตรียมตัวกลับบ้านเกิดเมืองนครของตน เพื่อมาร่วมในเทศกาลสารท เดือนสิบด้วยสามัญสำนึกฝังแน่นอยู่ในหัวใจ ไม่มีเหตุผลใดหรือความ บังเอิญอื่นใดบังคับให้กลับ แค่เป็นไปด้วยความสมัครใจจนเป็นประเพณี ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาด้วยเหตุผลที่กล่าวมานี้ ประเพณีสารทเดือนสิบเมืองนคร จึงเป็นประเพณีที่สำคัญควบคู่กับเมืองนคร จนกล่าวได้ว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรม คู่บ้านคู่เมืองนคร
กล่าวโดยสรุป
ประเพณีทำบุญเดือนสิบเป็นประเพณีเนื่องในพุทธศาสนา
ที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาวภาคใต้ โดยเฉพาะชาวอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ถือว่าเป็นประเพณีที่สำคัญที่สุดในบรรดาประเพณีทั้งหมดในรอบปี ประเพณีทำบุญเดือนสิบยังมีวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับประเพณีอื่น ดังนั้นการศึกษาประเพณีทำบุญเดือนสิบของชาวอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จึงช่วยให้เห็นวิถีชีวิตวามเป็นอยู่ของชาวอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช วัฒนธรรมของชาวไทยภาคใต้โดยส่วนรวมอีกด้วย |
เอกสารอ้างอิง :
นครศรีธรรมราช,สำนักงานจังหวัด.
2532.
นครศรีธรรมราช 32. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ ดี แอล เอส.
เบญจมราฃูทิศนครศรีธรรมราช . 2542. 100 ปี
เบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไทม์พริ้นติ้ง.
ประเพณีสำคัญของชาวนครศรีธรรมราช : 2528.
กรุงเทพฯ
: กรุงสยามการพิมพ์.
สมพงษ์ เกรียงไกรเพชร.
2540.
บันทึกประเพณีภาคใต.้ กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ดอกหญ้า.
สำนักงานโบราณคดี
และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 11 นครศรีธรรมราช กรมศิลปากร. 2542. ประวัติศาสตร์ โบราณคดี นครศรีธรรมราช. บริษัท เอ.พี. กราฟิค ดี ไซน์ และการพิมพ์จำกัด .
้้ http://
www.trangzone.com/prapanee (เข้าถึง 25 ก.ค.50)
|
Subscribe to:
Posts (Atom)